jump to navigation

Agel สินค้าใหม่ น่าสนใจทั้งสินค้า และ แผนการตลาด ใครเคยใช้บ้าง พฤษภาคม 16, 2009

Posted by ekarinv in 1.
add a comment

วันนี้ผมไ้ด้รับการชักชวนจากรุ่นน้องที่เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ และ เป็นอาจารย์อยู่ด้วยให้ไปฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ อาหารเสริมแบบใหม่ที่เป็นเจล ซึ่งดูดซึมเร็ว และ ได้ผลเร็ว ฟังดูแรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่เพราะจริง ๆ ก่อนหน้านี้มีคนมาชวนเราแล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ แต่วันนี้เข้าไปฟังทั้งแผนการตลาด และประสบการณ์จากผู้ใช้จริงก็ทำให้เห็นว่า เจ้า Agel นี่น่าจะไม่ธรรมดาซะแล้วครับ มันสามารถสร้างรายได้และสร้างสุขภาพที่ดีไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งฟังแล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ในเร็ววันนี้ผมก็คงต้องทดลองใช้กับตัวเองเสียก่อน ถ้าดีจริง จะมาบอกต่อนะครับ หรือใครสนใจก็ลองเข้าไปฟังที่ศูนย์เขาก็ได้ หรือติดต่อที่ผมก็ได้นะครับ

Agel
Agel

รายการวิทยุ Techno for Life ทาง FM99 ช่องทางใหม่สำหรับคนรักเทคโนโลยี พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
Tags: ,
add a comment

รายการ Techno for Life เป็นรายการที่นำเสนอข่าวคราว และ เรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่น่าสนใจในรูปแบบที่ฟังง่าย สนุก และ ได้ความรู้ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ดำเนินรายการโดย ผมเอง ดร.เอกรินทร์ วาสนาส่ง และ ดร.จิตรเกษม งามนิล ซึ่งรายการของพวกเราออกอากาศทาง FM99 ของ อสมท. เวลา สี่โมง ถึง ห้าโมงเย็น ทุกวัน จันทร์ ถึงศุกร์ แต่สำหรับผมเอง ก็มีเวลาจัดแค่วันเดียวคือวันพุธ ส่วนวันอื่น ๆ ก็จะมีเพื่อน ๆ และน้อง ๆ มาช่วยดำเนินรายการ ผมว่าตอนนี้เป็นรายการเทคโนโลยีที่ครอบคลุมรอบด้านจริง ๆ นะครับ ใครสนใจไปฟังรายการย้อนหลังได้ที่ radio.mcot.net แล้วหา Link ที่เขียนว่า Techno for Life หรือจะฟังสด ๆ ผ่าน เน็ทได้ตาม Link ดังกล่าวนะครับ

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็อีเมลมาคุยกันได้ที่ technologyfocus@gmail.com ครับ

ขยะ แปลงเป็นน้ำมันได้ มีใครรู้บ้าง พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in เรื่องสัพเพเหะ.
add a comment

วันนี้ผมไปประชุมที่เทศบาลแสนสุข หรือที่เรารู้จักกันในนามบางแสนนั่นแหละครับ สิ่งที่ไปคุยให้กับนายกเทศมนตรีฟังก็คือเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปขยะถุงพลาสติกเก่า ๆ ในบ่อขยะเก่า ๆ ให้กลายเป็นน้ำมันดิบ หรือเป็นน้ำมันดีเซลได้ ซึ่งขณะนี้ด้วยฝีมือคนไทย เราสามารถสร้างเครื่องปฏิกร Pyrolysis ได้เองแล้ว และ กำลังจะเปิดใช้เป็นแห่งแรกที่จังหวัดชลบุรีครับ คิดว่าเร็ว ๆ วันนี้ก็จะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ใครสนใจก็อีเมลมาถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ekarinv@yahoo.com หรือโพสข้อความไว้นะครับ

สุขสันต์วันเกิด 50 ปีให้กับ IC หรือ Integrated Circuit พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment
IC

IC

เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พ.ค. 52 ที่ผ่านมาเวลา บ่ายสามโมงครึ่ง มีการจัดการเฉลิมฉลองให้กับวาระครบรอบ 50 ปีของการถือกำเนิดของวงจรรวม หรือที่เรารู้จักกันในนาม IC หรือชิพเล็ก ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแทบจะทุกชิ้นในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ พัทลม เครื่องปรับอากาศ ล้วนมี IC ทั้งสิ้น ดังนั้นในฐานะครบรอบ 50 ปี ที่ Computer History Museum ใน Mountain View ในแคลิฟอเนียร์ IEEE ได้จัดงานเฉลิมฉลองนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกไป อย่าง Integrated Circuit หรือ IC ขึ้น โดยเรียกงานนี้ว่า IC@50 โดยจะมีรถนำชมไปยังโรงงานผลิตชิพแห่งแรกที่ Fairchild Semiconductor ใน Palo Alto ด้วย

ในงานนี้มีวิทยากรรับเชิญที่น่าสนใจหลายท่านเช่น Brian Halla ประธานและ CEO ของ National Semiconductor, Lewis Terman (President ของ IEEE), ที่ขาดเสียมิได้คือ Gordon Moore ผู้ก่อตั้ง Fairchild Semiconductor และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Intel เจ้าของ Moore’s law นั่นเองใครอยากทราบว่า Moore’s Law คืออะไรก็ลองหาใน google เอานะครับ

ในงานก็ยังมีการกล่าวถึงต้นกำเนิดของ IC การพัฒนาการและธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาจากนวัตกรรม IC รวมไปถึงอนาคตของ IC ว่าจะไปทางไหน นอกจากนั้นยังมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิต IC ในยุคเริ่มต้นอีกหลายคน อย่าง Jay T Last ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Fairchild กับ Moore นอกจากนั้นยังมีการแสดง Notebooks ต้นแบบของ Jean Hoerni, Jay Last, Gordon Moore, และ Robert Noyce แห่ง Fairchild Semiconductor ด้วย

และนี่คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่เล็กกระทัดรัด แต่ไฮเทคอย่าง laptop, iPhone, iPod, Mobile Phone แม้แต่เครื่องซักผ้า เครื่องปิ้งขนมปัง หรือหม้อหุงข้าวรุ่นใหม่ ๆ ก็ยังมี IC ไม่ทราบว่า Moore’s Law จะใช้ได้จนถึงเมื่อไหร่นะครับเนี่ย

Hiinfo-N1-Onboard-Computer-with-M700AR-Display-

Wolfram Alpha แนวทางใหม่สำหรับการหาข้อมูลออนไลน์ จริงหรือ พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

ตอนนี้ในวงการคนออนไลน์ มีการพูดถึงเวบไซท์แห่งใหม่ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Wolfram Alpha ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 18 พ.ค. 52 จากคำแถลงการของโฆษกของเวบไซท์

คงมีหลาย ๆ คนถามว่าเจ้าเวบที่ว่านี้มันหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบง่าย ๆ ก็คือ คล้าย ๆ กับ Google หรือ Ask นั่นแหละ คือมีหน้าแรกแบบง่าย ๆ เป็นแผนที่โลก แล้วก็มีช่องให้ใส่คำถาม หรือ สิ่งที่ต้องการทราบลงไป แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือกระบวนการในการหาคำตอบ และวิเคราะห์คำถาม รวมถึงการแสดงผลของการวิเคราะห์ หรือคำนวณ ซึ่งต่างไปจากผู้นำในวงการอย่าง Google หรือ Ask ไปอย่างสิ้นเชิง วิธีการของ Wolfram Alpha ก็คือทำตัวเหมือนเครื่องคำนวณ รับคำสั่งจากที่เราใส่เข้าไป วิเคราะห์หาคำตอบในแง่มุมต่าง ๆ ถึงแม้คำถามนั่นจะไม่มีคีร์เวิร์ดถูกโพสไว้บนเวบไซท์ใด ๆ มาก่อน ฟังแค่นี้ผมคิดว่าพวกเราหลาย ๆ คนคงงง กับมัน ผมว่าคงจะง่ายขึ้นถ้ายกตัวอย่างซักหน่อย

สมมุติว่าคุณเป็นนักลงทุน และคุณต้องการทราบการแข่งขันในตลาดระหว่าง 2 บริษัท เช่นระหว่าง IBM กับ Apple เราอาจพิมพ์คำว่า IBM versus Apple ลงไป และสิ่งที่ Wolfram Alpha จะสร้างขึ้นมาก็คือกราฟ และ ตารางเปรียบเทียบทั้งปริมาณ และ ราคาหุ้นย้อนหลัง แถมยังให้ข้อมูลกับคุณถึงแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาพล๊อตในกราฟ ว่ามาจากเวบไซท์ไหน

เวบไซท์นี้ยังมีแนวโน้มว่าจะสามารถแก้สมการ หรือแสดงวิธีในการแก้สมการเป็นขั้นตอนได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กมัธยม และคนที่เรียนคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น การประมวลผลตัวอักษรมันก็ยังทำได้ดีไม่แพ้แก้สมการ ตัวอย่างเช่นถ้าเราอยู่บ้านใกล้ทะเล และต้องการทราบเวลาน้ำขึ้น น้ำลง เราก็แค่พิมพ์ว่า tides in pattaya สิ่งที่เราจะได้ก็คือ ชาร์ตแสดงถึงการขึ้นลงของน้ำ และการโคจรของดวงจันทร์ ที่มีผลต่อน้ำขึ้น น้ำลงในเขตพัทยา ถ้าเป็นคนรักกีฬาทางน้ำ คงจะเป็นเวบไซท์ที่น่าสนใจทีเดียวนะครับ

นอกจากนั้นมันยังสามารถวิเคราห์คำถาม แล้วแสดงผลเชิงสถิติได้อีกด้วย เช่น เราพิมพ์ Internet users in Bangkok คุณก็จะได้จำนวนของผู้ใช้เวบในกรุงเทพ ว่ามีกี่ล้านคน และรายชื่อ หรือกราฟที่แสดงจำนวนผู้ใช้ในแต่ละภูมิภาค หรือถ้าคุณอยู่ในธุรกิจประมงค์ เราเพียงแต่พิมพ์ว่า fish produced in Italy versus France แค่นี้ สิ่งที่เราจะได้ก็คือ ข้อมูลททางเทคนิค เช่น จำนวนปลา จำนวนฟาร์ม จำนวนที่จับ เทียบกับที่เพาะได้จำแนกตามชนิด ซึ่งสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ได้ทันที

ยิ่งฟังก็ดูเหลือเชื่อ แต่ว่าทั้ง CNET และ New York Times ได้กล่าวถึงเวบไซท์นี้ไว้พอสมควรว่าจะเปลี่ยนกระบวนการที่เราใช้ในการหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ทไปพอสมควรทีเดียว

แต่สิ่งที่กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ Stephen Wolfram ผู้ก่อตั้งเวบไซท์แห่งนี้ สาธยายให้ฟังในวีดีโอเปิดตัวของเวบไซท์ของเขา หลาย ๆ คนอาจไม่คุ้นกับชื่อเขาแต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นผู้เขียนโปรแกรม Mathematica คนที่อยู่ในวงการวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ คงต้องร้องอ๋อแน่ ๆ ก่อนหน้านี้ CNN ได้ลองใช้เวบไซท์ก่อนที่จะเปิดตัวจริง ๆ ก็ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก และยังมีปัญหาที่ต้องแก่อีกมาก นักวิจารณ์หลาย ๆ คน เช่น ผู้เขียนประจำที่ Harvardbusiness.org ก็กล่าวว่ายังไงซะ Google + Wikipedia นั้นย่อมให้ผลที่ดีกว่า แต่คาดว่าถ้ามีผู้เชียวชาญช่วยกันระดมข้อมูล และแนวทางการวิเคราห์ให้กับ Wolfram Alpha เหมือนกับที่ช่วยอัพเดทข้อมูลใน Wiki แล้ว สักวันหนึ่ง มันก็น่าจะเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลที่ดีได้ แต่ปัญหาคือ แล้วมันจะเริ่มกันตรงไหน เพราะโครงสร้างนั้นต่างจาก Wikipedia ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปแก้ไขได้ทันที

ระบบ 3G ล่มกระทบการใช้งาน iPhone พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

ระบบ 3G ที่ปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการในการส่งผ่านข้อมูล และ วีดีโอจำนวนมหาศาล ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือพร้อม ๆ กัน จำนวนมาก ๆ กำลังเป็นปัญหาสำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์ในสหรัฐ ในหลาย ๆ พื้นที่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื่องมากจากการที่ผู้บริโภคส่วนมากที่หันมาใช้โทรศัพท์ที่เราเรียกกันว่า Smart Phone กันมากขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะผู้นำตลาดอย่าง iPhone หรือ RIM ของ Samsung และ Nokia ก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ

เมื่อระบบ 3G ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอและไม่เร็วพอที่จะส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อม ๆ กัน นั่นก็หมายความว่าผู้บริโภคที่ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์แบบ 3G นั้นก็ย่อมไม่ได้รับการบริการอย่างที่คาดหวังกันไว้ ดังนั้นในตอนนี้ผู้ขายเครื่องก็พยายามจะจับมือกับบริษัทผู้ให้บริการที่มีศักยภาพมากที่สุด และสามารถทำให้โทรศัพท์ไฮเทคของเขาแสดงศักยภาพได้สูงสุดด้วย ทั้งส่งผ่านไฟล์ ต่ออินเทอร์เน็ท หรือแม้แต่ดูภาพยนต์สด ๆ ผ่านโครงข่ายโทรศัพท์

แม้แต่ Wall Street Journal นิตยสารธุรกิจชั้นนำของสหรัฐเอง ก็ได้รายงานว่า iPhone นั้นเป็นตัวกระตุ้นอย่างแรงให้มีการ ดาวน์โหลด และ เซอร์ฟเน็ทกันมากขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องกระทบการจราจรของข้อมูลในโครงข่ายของ AT&T หรือแม้แต่ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เช่น Sprint และ Verizon Wireless

เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ ก็มีการเรียกร้องมากขึ้นสำหรับโครงข่ายที่เร็วขึ้น และครอบคลุมมากขึ้นอย่าง 4G wireless network ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าระบบ 3G อยู่ 5-10 เท่า ซึ่ง Sprint เองก็ได้มีการทดสอบใช้ WiMax ไปแล้วในหลาย ๆ เมืองทั่วสหรัฐ แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าจะมีให้ใช้กันได้ทั่วประเทศ ส่วน AT&T และ Verizon นั้นก็ได้เตรียมเทคโนโลยีที่จะสามารถทำงานได้ในลักษณะเดียวกันไว้แล้ว

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่มีศักยภาพสูง ในขณะที่โครงข่ายหรือผู้ให้บริการพัฒนา หรือขยายไม่ทันนั้นก็กลับกลายมาเป็นปัญหา จะเห็นได้ว่า ระบบ 3G ในสหรัฐขณะนี้นั้น ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะรองรับการใช้งานข้อมูลจำนวนมาก ๆ ให้เต็มประสิทธิภาพ พร้อม ๆ กันทั้งหมด ซึ่งการแก้ไขก็ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น และสิ่งที่กระทบแน่ ๆ คือความพึงพอใจของผู้ใช้โทรศัพท์ไฮเทคทั้งหลาย ที่ต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องตั้งแพง แต่กลับใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ทริปล่าสุดของยานขนส่งอวกาศเพื่อซ่อมกล้องโทรทัศน์ฮับเบิร์ล พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ศูนย์ส่งยานอวกาศเคเนดี ในฟลอรีดา สหรัฐอเมริกา ได้มีการส่งยานขนส่งอวกาศแอตแลนติส ขึ้นสู่อวกาศอีกครั้งในตอนบ่ายสองโมง โดยมีภารกิจเพื่อซ่อมแซม กล้องโทรทัศน์ฮับเบิร์ล ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งที่ 5 แล้ว ที่ขึ้นไปซ่อม และตามแผนก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ในครั้งนี้ แอตแลนติสก็จะใช้เวลาทั้งหมด 5 วันในการยกเครื่อง ฮับเบิร์ล ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำรวจ หรือทำหน้าที่แทนตาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก ที่มองออกไปยังอวกาศอันไกลโพ้น ซึ่งในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา มันก็ทำหน้าที่ได้ดีทีสุด แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เกิดปัญหาทางเทคนิคขึ้น เนื่องจากอายุใช้งานที่ยาวนาน

ฮับเบิร์ล ได้ค้นพบปรากฎการณ์ใหม่ ๆ มากมาย ไม่ว่าภาพถ่ายของสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นหลุมดำ ซึ่งก่อนหน้านี้มีแต่ในทฤษฎี การเกิดของระบบสุริยะใหม่ ๆ การเกิดบิ๊กแบงค์ หรือแม้แต่พบว่าจักวาลของเรากำลังขยายตัวออกด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เราสามารถถ่ายภาพระบบสุริยะอื่น ๆ ได้มากมาย และยังทำให้เราทราบต้นกำเนิดของระบบสุริยะจักรวาลได้ดีขึ้น

ในการขึ้นไปอัพเกรดครั้งสุดท้ายนี้ ก็ถือได้ว่ามีความกดดันสูง เนื่องจากนักบินอวกาศทั้ง 7 คนจะต้องซ่อมทุกอย่างให้เสร็จภายในกำหนด และหลังจากนี้ก็จะไม่มีใครขึ้นมาซ่อมมันอีกแล้ว ถ้าซ่อมไม่สำเร็จก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า ความพยายามที่จะซ่อม ฮับเบิร์ล ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปี มาแล้ว ในปี 2002 โดยในปี 2004 นาซ่าก็ได้ยกเลิกโครงการต่ออายุ ฮับเบิร์ล เนื่องจากปัญหายานโคลัมเบียร์ ระเบิดในปี 2003 ทำให้มีข้อกังขาเรื่องความปลอดภัยสำหรับนักบินอวกาศ แต่ในที่สุดก็มีแรงกดดันจากหลายด้าน ผลักดันให้นาซ่าต้องหันกลับมาพิจาณาซ่อมมันอีกครั้งจนได้

ถึงแม้จะมีความเสี่ยงอยู่ แต่นาซ่าก็ได้ประเมินว่ามีความเป็นไปได้เพียง 1/221 ที่ยานขนส่งอวกาศจะชนเข้ากับขยะอวกาศ ที่เกิดขึ้นจากภารกิจก่อนหน้านี้ ขยะอวกาศที่ว่านี้มีนับพัน ๆ ชิ้น บางชิ้นมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางหลายฟุต ซึ่งในวงโคจรของฮับเบิร์ล (350 กม. เหนือพื้นดิน) นั้นมีขยะที่ว่านี้มากกว่าในวงโคจรของสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีกพอสมควร ในครั้งนี้ถือว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งต้องมีการเตรียมยานขนส่งอวกาศอีกลำคือ เอ็นเดเวอร์ ไว้เพื่อภารกิจกู้ภัยในกรณีที่จำเป็น โดยเอ็นเดเวอร์จะสามารถขึ้นไปช่วยนักบินอวกาศได้ภายใน ไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งภารกิจลักษณะนี้ถูกตั้งขึ้นตั้งแต่ปัญหายานโคลัมเบียระเบิดหลังจากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในปี 2003 โดยถ้ายานที่ขึ้นไปเกิดเสียหาย ก็จะส่งยานอีกลำหนึ่งขึ้นไปรับนักบินอวกาศกลับมา แทนที่จะผืนนำยานที่เสียหายร่อนลงมา

ในการซ่อมครั้งนี้จะมีการเปลี่ยน gyroscopes แบตเตอรี่ และ กล้อง ให้กับฮับเบิร์ล โดยต้องมีการทำ Space Walk ถึง 6 ชม. ครึ่ง เพื่อซ่อมหลาย ๆ ส่วน เหมือนกับการผ่าตัดใหญ่ให้กับเจ้าฮับเบิร์ลเลยก็ว่าได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ส่วนควบคุมจากภาคพื้นดินเสีย ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถควบคุมกล้องได้ ต้องมีการขันน๊อตจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนแผงวงจรใหม่หมด ดังนั้นครั้งนี้จะไม่ใช่การซ่อม แต่จะเป็นการอัพเกรดมากกว่า ซึ่งก่อนหน้านี้อย่างปี 1993 ยานอวกาศเอ็นเดเวอร์ ก็ได้ขึ้นไปแก้ปัญหาภาพเบลอร์ ซึ่งก็สำเร็จและทำให้ได้ภาพถ่ายที่น่าตื่นตาตื่นใจจากอวกาศจำนวนมหาศาล ส่งกลับมายังโลก

และครั้งนี้คงถือเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะซ่อมมัน เพราะหลังจากนี้ฮับเบิร์ลก็คงต้องปลดประจำการตามอายุของมันที่มากขึ้น ซึ่ง หลาย ๆ คนก็คงจำชื่อของมันได้ไปอีกนานแสนนาน

กลยุทธในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple 5 พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

ถ้ามองย้อนกลับไปสมัยที่เขาและเพื่อน Steve Wozniak เริ่มก่อตั้งบริษัท Macintosh นั้น Jobs ถือได้ว่าเป็นคนแรกของโลกที่นำแนวคิด Windows กับ Mouse มาใช้ แต่ผู้ที่นำไปพัฒนาต่อจนประสบความสำเร็จระดับโลกก็คือ Bill Gates แห่ง ไม่โครซอร์ฟ ซึ่งทำให้ทั้งคู่เป็นไม้เบื่องไม้เมากันมาตั้งแต่นั้น สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ Jobs มักจะคิดอะไรที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาช่วย แต่หลายครั้งที่เขาคิดในรายละเอียดเสียจนมองข้ามการตลาด ในขณะที่ Bill Gates นั้นมองการตลาดเป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่นค่อยพัฒนาตามาก็ยังทัน แต่การคาดการของ Gatesนั้น เมื่อเทียบกับ Jobs แล้ว ดูเหมือนว่า Jobs จะมีภาษีดีกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ Gates เขียนหนังสือเกี่ยวกับบริษัทของเขา และหนทางข้างหน้าของบริษัท ในปี 1995 ในหนังสือเล่มนั้นไม่มีแนวทางเกี่ยวกับ internet เท่าใดนัก ในขณะที่ในปี 1996 ซึ่ง internetเริ่มบูม โดย Microsoft เองพยายามที่จะพัฒนา Web Browser แต่ Jobs กลับออกมากล่าวว่า Browser นั้นไม่ใช่ทางที่จะหาเงินได้ แต่ internet ต่างหากที่จะทำให้ชีวิตของคนเปลี่ยน และเปลี่ยนวิธีในการซื้อขายสินค้าไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ สินค้าจะมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น และสามารถสั่งได้ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่ง Dell ก็เป็นบริษัทหนึ่งซึ่งจริงจัง และ ได้ประโยชน์กับเรื่องนี้มาก และ เป็นการแสดงให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ของ Jobs นั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่ Jobs เองก็มองตลาดผิดได้เช่นกัน อย่างคราวที่เขาเปิดบริษัท NeXT Computer เครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาออกแบบอย่างที่เรียกได้ว่า Over Design ทั้งรูปแบบและวัสดุ ตัวถังทำจากแมกนีเซียม ที่ตัดด้วยเลเซอร์ มีรูปร่างทรงกล่อง ซึ่งเขาขายได้เพียง 50,000 เครื่องใน 8 ปี ซึ่งไอเดียร์นี้ถูกนำมาใช้กับเครื่อง CUBE ที่ Apple แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน อีกครั้งหนึ่งที่ Jobs คิดว่าผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ คงอยากชมภาพยนต์จาก DVD มากกว่า ที่จะคิดผลิตแผ่นซีดีเพลงของตัวเอง ซึ่งเขาก็คิดผิดเช่นกัน แต่เมื่อทราบว่าผิดก็ยังปรับตัวทันโดยการหันไปซื้อโปรแกรม SoundJam ซึ่งต่อมาก็คือ iTune ที่พัฒนาโดย Jeff Robin และพัฒนาต่อให้มันเป็นศูนย์กลางการเล่น และดาวน์โหลดเพลงในที่สุด ซึ่งจุดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การยอมรับในสิ่งที่พลาดและนำมาปรับปรุง ย่อมนำมาซึ่งแนวทางใหม่ ๆ ที่มีโอกาศประสบความสำเร็จได้ ซึ่งบางสิ่งเราเองก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาใหม่เองเสมอไป เพียงเลือกสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้เหมาะสม ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

กลยุทธในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple 4 พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

ถ้าจะมองย้อนกลับไป จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ Jobs ยังคงยืนอยู่หัวแถวของ Apple เนื่องจากครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกผลักไสไล่ส่งออกจาก Apple ตั้งแต่ปี 1985 และเขาก็ยังตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์แห่งใหม่ (NeXT Computer) ที่ยังไม่เคยสำเร็จด้านยอดขายเลย นอกจากนั้นเขายังไปซื้อหุ่นบริษัททำแอนิเมชั่น (ต่อมาคือ Pixar) ซึ่งตอนนั้นคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคืออะไร และเขาเองก็พยายามจะขายมันทิ้งอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุด Apple ก็ไปซื้อหุ่นของ NeXT กลับมา และเปิดโอกาสให้ Jobs กลับมาใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเขาอีกครั้ง ซึ่งในเวลาใกล้เคียงกันนั่นเอง Pixar ก็ได้เปิดตัวภาพยนต์แอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพทั้งเรื่องนั่นก็คือ Toy Story ทำให้ Disney และ Pixar แจ้งเกิดในวงการแอนิเมชั่นได้สำเร็จ และสร้างรายได้นับพันล้านดอลล่าให้กับ Jobs แต่สถานการของ Apple นั้นมาดีขึ้นหลังจากการเปิดตัวของ iPod ซึ่งทำรายได้อย่างถล่มทลาย ในเดือนตุลาคม 2001 โดยทำรายได้ถึง เกือบ 7 พันล้านเหรียญ หรือเกือบครึ่งของกำไรบริษัททั้งหมด และกระแสของ iPod ก็ยังเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ Apple เหนือกว่าคู่แข่ง ก็คือ การใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ง่าย และมีประสิทธิภาพที่สุด ทำให้ใคร ๆ ก็ใช้ได้ ซึ่งก็เป็นแนวทางการพัฒนานวัตกรรมที่ Apple หวังว่าสิ่งที่เขาผลิตขึ้นจะแทรกเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คนได้อย่าง ง่าย ๆ ใช้ง่าย ๆ และดูดีมีสไตล์

กลยุทธในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple 3 พฤษภาคม 13, 2009

Posted by ekarinv in Technology Focus.
add a comment

ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าไม่ว่าอุปกรณ์จะเป็นอะไรก็ตามถ้าได้แนวคิดจาก Jobs จะมีปุ่มให้ใช้งานน้อย แต่สามารถทำงานได้ง่าย ๆ และครบถ้วน เช่น iPod ควรจะสามารถโหลดเพลงเข้าสู่เครื่องได้โดยกดไม่เกิน 3 ปุ่มหรือ iPhone ที่จะต้องใช้งานง่าย แค่ใช้นิ้วเขี่ย ๆ ก็สามารถเข้าถึงโปรแกมต่าง ๆ ในโทรศัพท์ได้ทั้งหมด ไม่ต้องกดปุ่มอะไรมากมาย หรือแม้แต่ muti-touch screen ของ iPhone หรือ touch pad รุ่นใหม่ ๆ ของ Apple ก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งเดียวกันก็คือ ง่าย แต่มีประสิทธิภาพ
พนักงานหลายคนที่เคยทำงานให้ Apple นั้นกล่าวว่า Jobs นั้นเหมือนเป็นคนมีสัญชาติญาติที่ทำให้เขาทราบว่าเทคโนโลยีนั้นกำลังจะหลั่งไหลไปในทิศทางไหน มีครั้งหนึ่งนักข่าวถามเขาตอนเปิดตัว iPod ว่าทำไม iPod ไม่เน้นไปขายวีดีโอ ผ่านระบบออนไลน์ เหมือนกับขายเพลง สิ่งที่ Jobs ตอบก็คือ มันยังไม่แน่ชัดว่า คนจะซื้อเครื่องนี้ไปเพื่อดูวีดีโอ ไม่เห็นว่าถ้าเราขายวีดีโอ เหมือนกับคู่แข่งอีกหลายราย แล้วจะประสบความสำเร็จได้ ซึ่งคำตอบนี้แผงไว้ด้วยมุมมองอีกหลายมุม รวมทั้งคำตอบที่ยังตอบไม่หมดด้วย ซึ่งก็คือ ถ้าเป็นเขา เขาจะทำอย่างไร ยังไม่ทั้นจะคิดได้ทัน อีกสามสัปดาห์ต่อมา เขาเปิดตัว iTune Store ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลด ละครฮิต ซีรี่ต่าง ๆ รายการโชว์ที่พึ่งออกอากาศไปเมื่อวานนี้ มาดูบนคอมพิวเตอร์ของพวกเขาได้ และยังโหลดต่อไปยัง iPod ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้ iTune ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น โดยไม่เห็นจะต้องออกแบบให้ iPod ดาวน์โหลดภาพยนต์ได้โดยตรงจาก internet แต่อย่างใด จากปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้เห็นได้ว่า Jobs สามารถคิดนำสิ่งที่ดูเหมือนจะธรรมดา มาทำให้ไม่ธรรมดาได้ โดยการเสริมมุมมองใหม่ ๆ เข้าไปเท่านั้น สิ่งนั้นก็คือความสดใหม่ และ ทันสมัยของข้อมูล และ จุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ไม่ใส่ฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นในสินค้าบางอย่าง แต่ใช้การออกแบบให้สินค้าเหล่านั้นใช้ฟังก์ชั่นบางอย่างจากอุปกรณ์ชนิดอื่น ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เช่นการเชื่อมต่อ iPod กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องมีตัวเชื่อมแจกฟรีอย่าง iTune ที่จะทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง iTune Store ผ่านระบบอินเทอร์เน็ทอีกทีหนึ่ง